กล้องถ่ายรูปแบบมิเรอเลส (Mirrorless) หรือไร้กระจกนั้นมีขายในท้องตลาดมาเป็นเวลามากว่า 10 ปีแล้ว แต่กล้องเหล่านี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ช่างภาพที่มุ่งมั่นในงานส่วนใหญ่น่าจะมีประสบการณ์ถ่ายภาพด้วยกล้อง DSLR มาแล้วเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ผู้คนจำนวนมากที่เลือกเปลี่ยนจากกกล้อง DSLR มาใช้กล้องที่เล็กและมีปัจจัยรูปแบบที่เบากว่าอย่างกล้อง Mirrorless และโดยทั่วไปแล้ว กล้อง Mirrorless ไม่เพียงแต่เล็กและเบากว่ากล้อง DSLR ซึ่งเป็นคู่แข่งเท่านั้น แต่ยังทำงานเงียบกว่าด้วย เนื่องจากไม่มีกระจกที่พลิกขึ้น-ลง ทำให้ช่างภาพที่ถ่ายภาพชีวิตทั่ว ๆ ไป รวมไปถึงช่างภาพที่ถ่ายในงานแต่งงานและโรงละครสามารถถ่ายภาพได้เสมือนจริงแบบไม่มีที่ติเลย
การเลือกกล้อง Mirrorless อาจเป็นงานที่ทำให้คุณกังวลได้เนื่องจากมีตัวเลือกที่หลากหลายให้คุณพิจารณาเปรียบเทียบ เริ่มตั้งแต่ขนาดของเซนเซอร์ไปจนถึงความสามารถในการถ่ายวิดีโอ ระบบเลนส์ และส่วนอื่น ๆ อีกมากมาย วันนี้เราจะแนะนำให้ครอบคลุมทุกปัจจัยเพื่อให้คุณได้มีข้อมูลที่จำเป็นในการเลือกซื้อกล้องใหม่และให้คุณได้มีประสบการณ์การเลือกซื้อที่น่าตื่นเต้น เราลองมาดูกันเลยว่าข้อมูลแนะแนวทางนี้จะช่วยคุณเลือกซื้อกล้องได้อย่างไรบ้าง
ระบบเลนส์
สิ่งที่ทำให้กล้อง Mirrorless ต่างจากกล้องคอมแพ็คทั่วไปคือคุณสามารถเปลี่ยนเลนส์สำหรับกล้อง Mirrorless ได้ นั่นทำให้กล้องทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก และหากคุณยังไม่เคยมีกล้องที่เปลี่ยนเลนส์ได้แล้ว เมื่อคุณลองใช้กล้อง Mirrorless แล้วคุณจะทึ่งในภาพที่ได้กล้องคอมแพ็คที่ใช้เพียงจับโฟกัสแล้วกดถ่ายนั้นมีเลนส์ที่ Built-in ภายในตัวกล้องแล้ว และโดยที่ไปคุณจะสามารถซูมได้ด้วยช่องรับแสงที่แตกต่างกันและด้วยเซนเซอร์ที่เล็กกว่า นั่นหมายความว่า ในขณะที่คุณสามารถถ่ายภาพที่มีความกว้างและระยะไกลด้วยการซูมแล้ว ความสามารถในการควบคุมการเลือกโฟกัสหรือเทคนิคระยะชัดของคุณจะไม่มากนัก เพราะโดยมากแล้วจุดโฟกัสที่เลือกจะโดดเด่นขึ้นโดย “โบเก้” ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งแรก ๆ ที่ผู้คนจะสังเกตเห็นเมื่อถ่ายรูปด้วยเซนเซอร์ที่ใหญ่กว่าและกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ เนื่องจากคุณมีตัวเลือกในการถ่ายภาพด้วยเลนส์ที่สามารถซูมระยะไกลได้ด้วยช่องรับแสงขนาด f/2.8 หรือเลนส์ที่ใช้สำหรับการถ่ายภาพคนเป็นหลักด้วยช่องรับแสงขนาด f/1.4
สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อดีของกล้อง Mirrorless คือการไม่มีกระจกที่อยู่หน้าเซนเซอร์ภายในตัวกล้อง การออกแบบของกล้องเหล่านี้ออกแบบมาสำหรับการถ่ายภาพระยะใกล้และแคบมากหรือระยะทางระหว่างเมาท์เลนส์กับระนาบของเซนเซอร์ เนื่องจากระยะที่สั้นนี้ เลนส์ที่มีความยาวการโฟกัสที่มากสามารถใช้ได้กับกล้อง Mirrorless หากคุณมีอะแดปเตอร์ที่ใช้งานด้วยกันได้ นั่นหมายความว่า นอกจากกล้อง Mirrorless จะมีตัวเลือกเลนส์ที่หลากหลายแล้ว เลนส์ SLR ส่วนใหญ่สามารถเข้ากันได้กับกล้อง Mirrorless ของคุณเช่นกัน นี่เป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรทราบหากคุณมีเลนส์เก่าอยู่หลายตัวและคุณกำลังจะเปลี่ยนจากกล้อง DSLR มาใช้กล้อง Mirrorless และเป็นไปได้มากทีเดียวที่จะมีมีอะแดปเตอร์ที่ใช้งานได้กับเลนส์ของคุณในกล้องตัวใหม่ของคุณ แน่นอนว่าคุณต้องตรวจสอบความสามารถในการใช้งานด้วยกันได้ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
ขณะที่คุณใช้เลนส์ “ที่คุณมีอยู่แล้ว” ในกล้อง Mirrorless เป็นประโยชน์ที่ดีเยี่ยม แต่เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสียเหมือนกัน ในหลายกรณีที่ข้อเสียของการใช้กล้องชนิดนี้คือการที่ตัวอะแดปเตอร์ไม่สามารถทำการโฟกัสอัตโนมัติได้ และบางครั้งไม่ส่งผ่านสัญญาอิเล็กทรอนิกส์เลยก็มี ทำให้คุณต้องตั้งช่องรับแสงเอง และนี่ก็อาจเป็นข้อเสียสำหรับช่างภาพบางราย แต่หากคุณใช้ถ่ายวิดีโอที่โดยปกติแล้วจะเปลี่ยนช่องรับแสงและปรับโฟกัสเองโดยอัตโนมัติ จุดนี้จะไม่ใช่ข้อด้อยของกล้องชนิดนี้เลย
บางครั้ง คุณไม่มีเลนส์จากกล้องตัวอื่น หรือคุณต้องการขายเลนส์ทั้งหมดทิ้งและลืมเกี่ยวกับอะแดปเตอร์ ในกรณีนี้คุณจะไม่ขาดเลนส์ดี ๆ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับกล้อง Mirrorless เลย เนื่องจากมีความใส่ใจมากขึ้นในระบบกล้อง Mirrorless ผู้ผลิตต่าง ๆ จึงได้ลงทุนอย่างมากในการผลิตเลนส์ออกมาหลากหลายให้ช่างภาพได้เลือกใช้ ตั้งแต่เลนส์สำหรับถ่ายภาพเคลื่อนไหวเร็วไปจนถึงเลนส์ที่ใช้ซูมระยะกว้างและไกล ไม่ว่าคุณจะกำลังมองเลนส์แบบไหนอยู่ โอกาสที่คุณจะเจอเลนส์ที่คุณถูกใจสำหรับกล้อง Mirrorless นั้นก็มากอยู่ทีเดียว
ขนาดเซนเซอร์
กล้อง Mirrorless ที่แตกต่างกันจะมาพร้อมกับเซนเซอร์ที่มีขนาดแตกต่างกัน และนี่คือจุดที่จะทำให้คุณสับสนได้เล็กน้อย และเพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น อยากให้คุณลองนึกถึงกล้อง DSLR แบบเฟรมเต็มว่าเป็นกล้องที่มีเซนเซอร์ขนาดใหญ่ที่สุด และกล้องแบบที่จับโฟกัสแล้วถ่ายเป็นกล้องที่มีขนาดเซนเซอร์ที่เล็กที่สุด กล้อง Mirrorless ส่วนใหญ่จะอยู่ระหว่างกลางของกล้องทั้งสองแบบนี้ มีเซนเซอร์ APS-C ที่กะทัดรัดขึ้น ซึ่งพบได้ทั่วไปในกล้อง DSLR สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป หรือเซนเซอร์ Mircro 4/3 ที่อยู่ระหว่างเซนเซอร์ APS-C และกล้องแบบจับโฟกัสแล้วถ่าย และขณะนี้กล้อง Mirrorless ก็มีแบบเซนเซอร์เฟรมเต็มสองถึงสามรุ่นแล้ว ถึงจะยังไม่มาก แต่คาดว่าในอนาคตจะมีการพัฒนาหลากหลายรุ่นตามมา
กล้อง Mircro 4/3 มาพร้อมกับเซนเซอร์ขนาด 17.3 x 13 มิลลิเมตร และส่วนใหญ่ผลิตโดย Panasonic และ Olympus ผู้ผลิตทั้งสองรายใช้เมาท์แบบเดียวกันเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานกล้อง Mircro 4/3 ดังนั้นคุณจึงสามารถสลับเปลี่ยนเลนส์ของทั้งสองยี่ห้อนี้ได้ ปกติแล้วกล้องของ Olympus จะใช้ตัวปรับเสถียรติดตั้งในตัวกล้อง ขณะที่กล้อง Panasonic มักติดตัวปรับเสถียรไว้ที่เลนส์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน Panasonic ก็ได้เริ่มใช้ตัวปรับเสถียรในตัวกล้องในบางรุ่นด้วยเช่นกัน
ส่วนกล้องที่มีเซนเซอร์เล็กกว่ากล้อง Mircro 4/3 เล็กน้อยคือกล้อง Nikon 1 (CX format) และกล้องซีรีส์ Pentax Q เนื่องจากใช้เซนเซอร์ที่ใกล้เคียงกับขนาดของกล้องแบบจับโฟกัสแล้วถ่าย นั่นคือ ขนาด 1 นิ้วสำหรับกล้อง Nikon 1, 1/1.7 นิ้ว หรือ 1/2.3 นิ้วสำหรับกล้อง Pentax Q ทำให้กล้องในกลุ่มนี้จะมีขนาดกะทัดรัดมากขึ้นกว่ากล้อง Mirroless อื่น ๆ
เหตุผลสำคัญที่ผู้คนจำนวนหนึ่งชอบกล้อง Mirrorless ก็คือ เป็นกล้องที่มีขนาดเล็กและเบากว่ากล้อง DSLR โดยที่สาเหตุส่วนใหญ่มาจากเซนเซอร์ที่มีขนาดเล็กกว่านั่นเอง และแม้ว่าขนาดที่เล็กและเบากว่าจะเป็นจุดเด่นที่สำคัญมากสำหรับกล้อง Mirrorless แต่กล้องประเภทนี้ก็มีข้อเสียเหมือนกัน นั่นคือ ขนาดเซนเซอร์ที่ใหญ่กว่าจะสามารถถ่ายภาพในบริเวณที่แสงน้อยได้ดีกว่าและทำให้เสียงเงียบกว่าเมื่อถ่ายภาพที่มีความไว ISO ที่สูงกว่า หากการถ่ายภาพในบริเวณที่แสงน้อยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ กล้อง Mirrorless แบบเฟรมเต็มอาจเหมาะมากกว่า หรืออย่างน้อยควรใช้กล้องที่มีเซนเซอร์ขนาด APS-C หากคุณอยากได้กล้องที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่าและไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพในบริเวณที่แสงน้อยให้ได้ภาพที่ดูดีมากมายแล้วละก็ กล้อง Mircro 4/3 ก็น่าจะเหมาะกับคุณแล้ว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ากล้องที่มีเซนเซอร์ที่เล็กกว่าไม่เหมาะกับการถ่ายภาพในบริเวณที่แสงน้อย แต่หมายความว่าการใช้กล้องที่มีเซนเซอร์ขนาดใหญ่กว่าจะทำให้ได้ภาพในบริเวณที่มีแสงน้อยดีกว่า
ช่องมองภาพ
ช่องมองภาพเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณา โดยพาะเมื่อคุณกำลังจะเปลี่ยนจากกล้อง DSLR เป็นกล้องประเภทอื่นที่มีช่องมองภาพด้วยสายตาแบบ TTL (through-the-lens) ช่องมองภาพแบบ TTL หมายถึง สิ่งที่คุณมองเห็นคือสิ่งเดียวกันหรือใกล้เคียงกับที่เลนส์จับได้ เนื่องจากกล้องแบบ Mirrorless ได้รับการออกแบบมาไม่ให้กระจกที่จะนำภาพจากเลนส์มายังช่องมองภาพ กล้องประเภทนี้ส่วนใหญ่จะใช้ช่องมองภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือที่เรียกว่า EVF
และแน่นอนว่าการออกแบบ EVF มามีทั้งประโยชน์และข้อเสีย เช่นเดียวกับช่องมองภาพด้วยสายตา สิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นข้อด้อยของช่องมองภาพแบบ EVF นี้คือช่วงเวลาระหว่างสิ่งที่คุณต้องการถ่ายภาพมีการเคลื่อนไหวกับเวลาที่คุณเห็นภาพจาก EVF นั้นมีช่วงเวลาต่างกัน แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่พัฒนาไปมาก ดังนั้น ช่วงเวลาห่างนี้ก็สั้นลงเรื่อย ๆ และจะพบว่าในกล้องบางรุ่นแทบไม่มีความแตกต่างกัน
และข้อด้อยอีกอย่างหนึ่งคือ EVF จะใช้พลังงานจากแบตเตอรรี่ค่อนข้างมากเช่นเดียวกับการกินไฟของหน้าจอ LED ข้อด้อยนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่นักและปกติแทบจะไม่เป็นปัญหาเลย แต่เป็นหนึ่งสิ่งที่คุณควรทราบเมื่อเลือกซื้อกล้อง
ส่วนเรื่องของข้อดี มีอยู่สองสามประการที่จะพูดถึงในวันนี้ อันดับแรกคือ ระบบช่วยโฟกัสซึ่งกลายมาเป็นจุดเด่นที่สำคัญของกล้องประเภทนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกล้องประเภทอื่นในเรื่องของการถ่ายวิดีโอและการปรับโฟกัสด้วยตนเอง ระบบช่วยโฟกัสเป็นระบบช่วยปรับโฟกัสในแบบ Real-time ที่ช่วยไฮไลท์เส้นขอบของความคมชัดภายในเฟรมด้วยเส้นสี ซึ่งช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากระบบวัตถุได้มากขึ้นในการทำให้มีความคมชัดอย่างมากเมื่อคุณทำการโฟกัสภาพ
และข้อดีอีกหนึ่งข้อของ EVF คือมีความสามารถในการทำให้ภาพที่คุณถ่ายมีรายละเอียดและมีชีวิตชีวามากขึ้น ให้ความสมดุลของสี และคุณสามารถปรับค่าต่าง ๆ ก่อนการถ่ายภาพได้ และขณะที่ OVF จะแสดงวัตถุที่คุณถ่ายตามที่เป็นจริง แต่ EVF จะแสดงภาพให้คุณดูใกล้เคียงกับภาพสุดท้ายที่คุณจะได้มากกว่า OVF
โฟกัสอัตโนมัติ
กล้อง DSLR ใช้การจับภาพวัตถุแบบผลต่างเฟส ขณะที่กล้อง Mirrorless ใช้การจับความคมชัด จับภาพวัตถุแบบผลต่างเฟสในกล้องแบบ DSLR มีข้อได้เปรียบในเรื่องของกระจกภายในกล้องที่จะคอยแบ่งแสงที่เข้ามาเป็นคู่ของรูปภาพ เปรียบเทียบภาพ และโฟกัสเลนส์อย่างรวดเร็วบนวัตถุ
ส่วนกล้อง Mirrorless นั้นจะใช้การจับความคมชัดเพื่อตรวจวัดความคมชัดระหว่างพิกเซลกับเซนเวอร์จนกว่ากล้องจะจับความคมชัดได้เพียงพอที่จะบอกได้ว่ารูปที่กำลังจะถ่ายอยู่ในโฟกัสแล้ว ข้อด้อยของวิธีการโฟกัสนี้คือจะค่อนข้างช้าและใช้งานได้ยากกว่าในบริเวณที่แสงน้อย และมีประสิทธิภาพน้อยกว่าเมื่อคุณใช้ถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหว
ข่าวดีสำหรับกล้อง Mirrorless คือกล้องใหม่หลายรุ่นตอนนี้ใช้ระบบโฟกัสแบบผสมที่รวมเอาทั้งวิธีการจับภาพแบบผลต่างเฟสกับแบบจับความคมชัดเข้าไว้ในกล้องตัวเดียว นี่เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรคำนึงถึงเมื่อเปรียบเทียบข้อดีของกล้อง และหากการมีโฟกัสอัตโนมัติที่ทำงานเร็ว โดยเฉพาะในขณะที่มีแสงน้อยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคุณ ดังนั้น คุณควรพิจารณากล้องที่เป็นระบบโฟกัสอัตโนมัติแบบผสมดังที่กล่าวมานี้
วิดีโอ
การถ่ายวิดีโอเป็นอีกหนึ่งส่วนที่กล้อง Mirrorless และกล้อง DSLR มีความคล้ายคลึงกันมากเมื่อพูดถึงเรื่องคุณภาพ และแน่นอนว่ากล้อง Mirroless จะทำให้คุณถ่ายวิดีโอได้หลากหลายตัวเลือกมากกว่าด้วยเลนส์ที่หลากหลายกว่ากล้อง DSLR แต่ทั้งสองระบบก็ให้คุณสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียดเต็มรูปแบบ และบางรุ่นก็สามารถถ่ายที่ความละเอียด 4K ได้แล้วในปัจจุบัน
สิ่งที่กล้อง Mirrorless พัฒนาขึ้นมาเหนือกล้อง DSLR หลายรุ่น คือ วิธีการถ่ายวิดีโอโดยไม่คำนึงถึงว่าถ่ายอะไรได้บ้าง เนื่องจากกล้อง Mirrorless มุ่งเน้นไปที่การจับความคมชัดอย่างต่อเนื่อง คุณสามารถโฟกัสได้ง่ายขึ้นและปรับให้โฟกัสคงที่ได้เมื่อคุณถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวอยู่ในเฟรมของคุณ กล้อง DSLR นั้นใช้การตรวจจับความคมชัดในการโฟกัสเช่นกันเมื่อคุณถ่ายวิดีโอหรือเมื่อทำงานในโหมด Live View แต่เนื่องจากคุณสมบัติเด่นนี้เป็นเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วภายในกล้อง Mirrorless จึงทำให้กล้องประเภทนี้ทำให้ได้วิดีโอที่คมชัดกว่าและตอบสนองต่อการถ่ายวิดีโอมากกว่าด้วย
หากคุณกำลังตัดสินใจอัปเกรดจากกล้องแบบจับโฟกัสแล้วถ่ายไปยังกล้อง Mirrorless คุณก็จะได้ประสบการณ์ในการถ่ายวิดีโอที่ดีกว่ากล้องแบบจับโฟกัสแล้วถ่ายมาก และอีกอย่าง คุณจะสามารถควบคุมระยะลึกชัดได้ผ่านช่องรับแสงและสามารถปรับโฟกัสภาพของคุณได้ด้วยตัวเองด้วย ทำให้คุณสามารถควบคุมการทำงานของกล้องได้มากกว่า และนอกจากนี้ ยังได้ไฟล์ภาพที่มีคุณภาพสูงกว่าด้วย
ขนาดที่เล็กกว่าของกล้อง Mirrorless หมายถึง เมื่อคุณถ่ายวิดีโอจะทำให้คุณเมื่อยน้อยกว่าเมื่อถือกล้องที่มีน้ำหนักเบากว่าอย่างกล้อง Mirrorless เมื่อเทียบกับกล้อง DSLR
หากคุณเป็นนักถ่ายวิดีโอและต้องการได้วิดีโอที่คุณภาพมืออาชีพ คุณควรพิจรณาเลือกกล้องแบบ Mirrorless ที่สามารถบันทึกวิดีโอรูปแบบไฟล์คุณภาพสูงได้ เช่น AVCHD หรือ XAVC S และเลือกกล้องที่คุณสามารถใช้ไมโครโฟน ชุดหูฟัง จอวิดีโอ และอุปกรณ์บันทึกเสียงที่ต่อจากด้านนอกได้
ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อไร้สาย
ในตลาดปัจจุบัน ผู้ผลิตกล้อง Mirrorless หลายรุ่นได้นำรวมเอาความสามารถในการเชื่อมต่อแบบไร้สายไว้ในกล้องด้วยซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมมาก กล้องที่สามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ส่วนใหญ่จะมีแอปพลิเคชั่นที่ใช้คู่กัน โดยมีทั้งสำหรับระบบปฏิบัติการ iOS หรือแอนดรอยด์ที่ให้คุณควบคุมกล้องของคุณจากสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้
ความสามารถของแอปฯมีทั้งตั้งแต่การดูภาพของกล้องในโหมด Live View และควบคุมปุ่มชัตเตอร์ ไปจนถึงการควบคุมเต็มรูปแบบอย่าง ความเร็วชัตเตอร์ ช่องรับแสง ISO และการตั้งค่าอื่น ๆ ที่ปกติแล้วคุณจะต้องปรับที่ตัวกล้อง
กล้องบางรุ่นให้คุณส่งภาพจากกล้องไปยังอุปกรณ์สื่อสารของคุณได้โดยตรง หรือแม้แต่ให้คุณโพสต์ภาพบนโซเชียลมีเดียเว็บโปรดของคุณ ข้อดี (ที่ยอดเยี่ยม) อีกอย่างของฟังก์ชั่น Wi-Fi คือ การสื่อสารในบริเวณใกล้หรือที่เรียกว่า Near Field Communication (NFC) ซึ่งคุณสามารถ “สัมผัสและเชื่อมต่อ” กับกล้องตัวอื่นหรือกับอุปกรณ์สื่อสารเพื่อแชร์รูปได้ ข้อดีนี้เป็นประโยชน์มากหากคุณถ่ายภาพกับเพื่อนและอยากแชร์รูปโดยไม่ต้องส่งให้กันทางอีเมล
การเลือกกล้อง Mirrorless
มาถึงตรงนี้คุณน่าจะสามารถตัดสินใจได้แล้วเมื่อต้องการซื้อกล้องใหม่ตัวต่อไป โปรดอย่าลืมในจุดสำคัญหลัก ๆ ที่เราได้กล่าวไปแล้ว หากขนาดของภาพและคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณโดยเฉพาะเมื่อต้องถ่ายในบริเวณที่แสงน้อย ควรเลือกกล้องที่มีเซนเซอร์แบบ APS-C หรือแบบเฟรมเต็มจะดีกว่า อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังมองหากล้องคอมแพ็คที่มีตัวเลือกในการควบคุมการถ่ายภาพมากกว่ากล้องแบบจับโฟกัสแล้วถ่าย คุณควรเลือกกล้องที่มีขนาดเซนเซอร์ที่เล็กกว่า